การเมืองการปกครอง
1. การเมืองการปกครอง
1.1 เลบานอนอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสเป็นเวลากว่า 25 ปี โดยได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2486 หลังจากนั้น เลบานอนได้พัฒนาประเทศและรักษาความเป็นศูนย์กลางด้านการค้า การเงิน การท่องเที่ยว การเกษตร ศิลปะและวัฒนธรรมของภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้มาได้โดยตลอด
1.2 เลบานอนปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ ได้รับแต่งตั้งโดยรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งได้ 1 วาระเป็นเวลา 6 ปี และนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง มีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี รัฐสภาแห่งชาติ (National Assembly) มีสมาชิก 128 คน มีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี มีรูปแบบการจัดสรรที่นั่งอย่างทั่วถึงระหว่างกลุ่มศาสนาต่างๆ คณะรัฐมนตรีประกอบด้วยรัฐมนตรีจำนวน 30 คน
1.3 เลบานอนแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 6 เขต (governorates) และ 25 อำเภอ ได้แก่ 1) Beirut Governorate ซึ่งครอบคลุมกรุงเบรุต 2) Nabatiyeh Governorate 3) Beqaa Governorate 4) North Governorate 5) Mount Lebanon Governorate 6) South Governorate โดย Beirut Governorate เป็นจุดศูนย์กลางความเจริญของประเทศ
1.4 โดยที่เลบานอนมีความแตกต่างด้านเชื้อชาติและศาสนาภายในค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นจุดอ่อนและ เปราะบางต่อความมั่นคงภายในประเทศ รัฐธรรมนูญเลบานอนจึงประกาศให้เลบานอนเป็นรัฐอาหรับที่ เป็นกลางทางศาสนา และมีระบบการกระจายอำนาจทางการเมืองเรียกว่า “Confessionalism” โดยระบุให้ประธานาธิบดีเป็นชาวคริสต์นิกาย Maronite นายกรัฐมนตรีเป็นชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ และประธานรัฐสภาแห่งชาติเป็นชาวมุสลิมนิกายชีอะต์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ได้แก่ พล.อ.มิเชล สุไลมาน (Michel Suleiman)(ดำรงตำแหน่งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2551) ส่วนนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ นายซาอัด ฮารีรี (Saad Hariri) (ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2552)
1.5 ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองในเลบานอนเป็นเหตุให้ไม่สามารถมีการประชุมรัฐสภา เพื่อเลือกประธานาธิบดีคนใหม่มาแทน พล.อ.เอมิล ลาฮูด (Emile Lahoud) ซึ่งได้หมดวาระเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2550 จนกระทั่งกลุ่มสันนิบาตอาหรับ (Arab League) เข้ามาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย และสามารถบรรลุข้อตกลงระหว่างกลุ่มการเมืองเลบานอนได้ในเดือนพฤษภาคม 2551 ระหว่างการเจรจา ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ โดยฝ่ายพันธมิตรตะวันตก (กลุ่ม March 14) นำโดยนายฮารีรี หัวหน้าพรรค Future Movement บุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรีราฟิก ฮารีรี (Rafiq Hariri) ที่ถูกลอบสังหารในปี 2549 และฝ่ายพันธมิตรซีเรีย (กลุ่ม March 8) ตกลงเลือก พล.อ.สุไลมาน อดีตผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของเลบานอน
1.6 เลบานอนได้จัดการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2552 ซึ่งผลปรากฏว่า กลุ่ม March 14 นำโดยนายฮารีรี ได้คะแนนเสียงข้างมาก (68 จาก 128 ที่นั่งในสภาฯ) จึงได้รับเลือกจาก พล.อ. สุไลมาน ให้เป็นนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ โดยนายฮารีรีตัดสินใจที่จะพยายามจัดตั้งรัฐบาลสมานฉันท์อีกครั้ง เนื่องจากไม่ได้รับเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาดจากการเลือกตั้ง จึงต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งกับกลุ่มการเมืองตรงข้าม แต่กลับไม่สามารถตกลงโควตาตำแหน่งรัฐมนตรีกับกลุ่ม March 8 (นำโดยกลุ่ม Hizbullah) ได้ โดยภายหลังความพยายามกว่า 2 เดือน นายฮารีรีตัดสินใจเสนอชื่อคณะรัฐมนตรีให้ พล.อ.สุไลมานพิจารณา (เป็นรัฐมนตรีจากกลุ่ม March 14 ของนายฮารีรี 15 คน จาก กลุ่ม March 8 10 คน และอีก 5 คน พล.อ.สุไลมานจะเป็นผู้คัดเลือก) แต่ยังคงได้รับการต่อต้านจากนายฮัสซัน นาซาราลลาห์ (Hassan Nasrallah) ผู้นำกลุ่ม Hizbullah นายฮารีรีจึงได้ตัดสินใจยื่นหนังสือลาออก จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ พล.อ.สุไลมาน เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2552 แต่ได้รับเลือกให้กลับมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อพยายามจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2552
1.7 ความพยายามในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งใหม่ของนายฮารีรีประสบผลสำเร็จเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2552 เมื่อรัฐสภาเลบานอนได้มีมติรับรองรายชื่อคณะรัฐมนตรีที่นายฮารีรีเสนอ ภายหลังการเจรจาที่มีทั้งซาอุดีอาระเบีย ซีเรีย อิหร่าน กาตาร์และสหรัฐฯ เป็นผู้ไกล่เกลี่ย โดยรัฐบาลชุดนี้มีสูตร 15-10-5 โดยกลุ่ม March 14 ของนายฮารีรีได้ตำแหน่ง 15 ตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ขณะที่ 10 ตำแหน่งมาจากกลุ่ม March 8 ซึ่งรวมกลุ่ม Hizbullah ด้วย และที่เหลืออีก 5 ตำแหน่งมาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดนี้ถือว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ทั้งในโครงสร้างอำนาจและตัวบุคคล รัฐบาลจะยังคงไม่มีเสถียรภาพและประเด็นอนาคตของกองกำลัง Hizbullah ยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความแตกแยกระหว่างกลุ่มการเมืองในเลบานอน
2. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
2.1 ความสัมพันธ์กับซีเรีย ซีเรียและเลบานอนมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งจากประวัติศาสตร์อันยาวนานภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ทำให้ซีเรียเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากต่อเลบานอนทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มชนชั้นสูงของเลบานอนซึ่งมีอำนาจปกครองประเทศ ซีเรียเคยส่งกำลังทหารเข้ามาในเลบานอนเพื่อช่วยสู้รบในเหตุสงครามกลางเมืองและสงครามกับอิสราเอล จนกระทั่งเมื่อปี 2549 นายราฟิก ฮารีรี อดีตนายกรัฐมนตรีเลบานอนถูกลอบสังหาร และซีเรียถูกมองว่าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง รัฐบาลเลบานอนจึงขับกองกำลังของซีเรียออกจากประเทศ และระงับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน นับจากนั้น การเมืองภายในเลบานอนจึงได้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายที่สนับสนุนอิทธิพลของซีเรียและฝ่ายที่ต่อต้าน ล่าสุดภายหลังที่ พล.อ.สุไลมาน เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดี ทั้งสองประเทศจึงได้กลับมาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันอีกครั้ง
2.2 ปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม Hizbullah และอิสราเอล Hizbullah ได้โจมตีอิสราเอลจากทางภาคใต้ของเลบานอนมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่อิสราเอลได้เข้ายึดครองพื้นที่ดังกล่าวเพื่อหยุดยั้งการโจมตีของกลุ่มปลดปล่อยปาเลสไตน์ (Palestine Liberation Organisation - PLO) ซึ่งใช้พื้นที่ของเลบานอนเป็นฐานที่ตั้งโจมตีอิสราเอล ระหว่างที่เลบานอนกำลังเผชิญกับสงครามกลางเมืองในช่วงปี 2521 แม้อิสราเอลจะถอนกำลังออกจากดินแดนดังกล่าวแล้วเมื่อปี 2543 กลุ่ม Hizbullah ในเลบานอน ก็ยังคงปฏิบัติการโจมตีและลักพาตัวทหารอิสราเอล โดยมีเป้าหมายให้อิสราเอลปล่อยตัวนักโทษชาวอาหรับที่ถูกอิสราเอลจับกุมไปเป็นจำนวนมาก โดยในวันที่ 12 กรกฎาคม 2549 กลุ่ม Hizbullah ได้จับตัวทหารอิสราเอลไป 2 นาย (นาย Ehud Goldwasser และนาย Eldad Regev) อิส